ในยุคปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทั้งโลกต่างติดต่อสื่อกันได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนก็สามารถเชื่อมถึงกันและกันได้ หากเปรียบเทียบกับช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ก็นับได้ว่าเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน
ด้วยความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้เครื่องมือสำหรับใช้ในการติดต่อสื่อสารอย่าง “ภาษา” มีความจำเป็นขึ้นมาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ภาษาอังกฤษ” ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้สำหรับผู้คนในยุคสมัยนี้ไปเสียแล้ว นอกจากจะมีทักษะอื่น ๆ ติดตัวเช่นการคำนวณ การวิเคราะห์ หรือการวางแผน หากมีทักษะภาษาอังกฤษประกอบเข้าไป สิ่งนั้นจะกลายเป็นกุญแจอันล้ำค่าในการไขประตูไปสู่เส้นทางหรือโอกาสใหม่ ๆ ที่จะนำพาให้คุณก้าวไปได้ไกลเกินกว่าที่คุณจะจินตนาการไว้
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก การจะสอนภาษาแม่เช่นภาษาไทยให้กับลูกเพียงอย่างเดียว เห็นว่าไม่น่าจะเพียงพอ ภาษาที่สองอย่างภาษาอังกฤษกลายมาเป็นภาษาที่มีความสำคัญอย่างมากพอ ๆ กับภาษาแม่ในยุคสมัยนี้ไปเสียแล้ว หากลูกของคุณได้เริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่อายุยังน้อย เขาจะไม่มีอาการต่อต้านภาษา เพราะช่วงวัยนี้เป็นช่วงที่เขาสามารถเรียนรู้ภาษาได้อย่างรวดเร็ว และมีความกระตือรือร้นที่อยากจะใช้ภาษาที่เรียนมาเพื่อพูดคุยอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาได้ใช้ภาษาอังกฤษควบคู่ไปกับภาษาแม่ เขาจะจดจำคำศัพท์ได้เป็นอย่างดีและสามารถเลือกใช้คำในการสื่อสารได้อย่างเหมาะสม ยิ่งถ้าเขาได้ฝึกฝนกับเจ้าของภาษาแล้ว เขาจะสามารถเลียนแบบการออกเสียงของคำศัพท์ได้ดียิ่งขึ้น ในทางกลับกัน หากให้ลูกเริ่มฝึกภาษาที่สองตอนโต เด็กจะเริ่มมีอาการต่อต้าน เพราะเขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ รวมไปถึงมีความถนัดในการใช้ภาษาแม่ของตัวเองอยู่แล้ว การเรียนรู้ภาษาใหม่จึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับความคิดของเขานั่นเอง
ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณพ่อคุณแม่ที่อยากจะให้ลูกได้เรียนภาษาอังกฤษ ควรให้เขาได้เรียนในวัย 0 – 3 ขวบ เพราะเด็กในช่วงวัยนี้ เป็นช่วงที่สมองสามารถเรียนรู้ภาษาและสิ่งต่าง ๆ ได้รวดเร็วกว่าเด็กโต ดังนั้น ถ้าต้องการที่ให้ลูกสามารถเข้าใจและใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี คุณพ่อคุณแม่ควรสร้างสิ่งแวดล้อมที่พร้อมจะกระตุ้นให้เขาเกิดการอยากเรียนรู้ภาษาอังกฤษขึ้นมาด้วย
ต่อไปจะมาพูดถึงเรื่องถ้าจะเริ่มสอนภาษาอังกฤษให้ลูกน้อย ควรจะเริ่มจากตรงไหนดี สำหรับเด็กวัยแบเบาะหรืออายุ 1-2 เดือนขึ้นไป คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มได้ด้วยของเล่นเสริมพัฒนาการ อย่างการใช้บัตรคำศัพท์ที่มีรูปภาพประกอบไม่ว่าจะเป็นรูปสัตว์ สิ่งของ หรือผลไม้ พร้อมกับออกเสียงคำศัพท์แต่ละคำให้เขาฟัง
พอเขาเรียนรู้มาได้ระยะหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่พยายามสร้างสิ่งแวดล้อมที่มีภาษาอังกฤษเพื่อเป็นกระตุ้นให้ทักษะเขาพัฒนาไปได้ไกลยิ่งขึ้น สภาพแวดล้อมที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสร้างได้ง่าย ๆ ด้วยการเปิดสื่อที่เป็นภาษาอังกฤษให้ลูกน้อยฟัง ซึ่งอาจจะเป็นนิทาน การ์ตูน เพลงสำหรับเด็ก หรือแม้แต่อ่านหนังสือภาษาอังกฤษง่าย ๆ ให้ลูกน้อยฟัง เป็นต้น
ในช่วงวัย 8-9 เดือน จะเป็นวัยที่เด็กเริ่มหัดพูด คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้วิธีการพูดตอบโต้เป็นภาษาอังกฤษเป็นการกระตุ้นทักษะได้ เพราะมีงานวิจัยระบุว่า เด็กเล็กจะต้องเรียนรู้ภาษาในอัตราส่วน 30% ของแต่ละวัน เด็กถึงจะมีความสามารถในการใช้ภาษานั้น ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว
เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 9-12 เดือนขึ้นไป ลูกของคุณจะสามารถเข้าใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเป็นภาษาอังกฤษได้ สิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาในช่วงวัยนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรสะสมคลังคำศัพท์ให้ลูกเพิ่มไปเรื่อย ๆ ผ่านการเรียนรู้ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น นิทาน การ์ดคำศัพท์ หรือเกมที่ช่วยเสริมทักษะภาษาอังกฤษ เป็นต้น
หลังจากลูกน้อยผ่านการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมาเป็นระยะเวลานาน เมื่อเขาเข้าสู่ช่วงอายุ 2-3 ขวบ ลูกของคุณจะสามารถฟังและพูดได้แล้ว คุณพ่อแม่ต้องเตรียมหาโรงเรียนอนุบาลที่มีการเรียนการสอนที่เน้นภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นการกระตุ้นทักษะภาษาอังกฤษให้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น
นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น กิจกรรมเข้าค่ายภาษาอังกฤษ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่เหมาะสำหรับการฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษเช่นกัน การเข้าค่ายจะทำให้ลูกได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ต่างจากการได้เรียนกับพ่อแม่หรือในห้องเรียน กิจกรรมในค่ายมีส่วนช่วยให้เด็กได้ลองใช้ภาษา เพราะอิทธิพลของสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ที่เขาได้พบเจอ เป็นสิ่งกระตุ้นให้เขาอยากรู้อยากเห็นในสิ่งใหม่ ๆ นั่นเอง ในค่ายนอกจากจะได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษแล้ว เด็กอาจได้พบกับมิตรภาพต่างแดนต่างเชื้อชาติ ซึ่งมีส่วนช่วยให้เขาเข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรม รูปแบบสังคม และความกว้างใหญ่ของโลกใบนี้ได้อีกด้วย
สำหรับเด็กที่ได้รับการฝึกฝนภาษาอังกฤษตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ว่าจะเป็นการฝึกจากการจำคำศัพท์ หรือบทสนทนาแบบง่าย ๆ ส่งผลให้เขาคุ้นเคยกับการใช้คำศัพท์หรือบทสนทนาในสถานการณ์ต่าง ๆ จนมีพื้นฐานที่ดีระดับหนึ่ง เมื่อได้เริ่มเรียนเนื้อหาเกี่ยวกับไวยากรณ์ หรือรูปแบบประโยคที่มีความซับซ้อนขึ้น เขาจะสามารถทำความเข้าใจบทเรียนได้อย่างรวดเร็วกว่าคนที่ไม่ได้รับการฝึกฝนตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งยังสามารถจดจำได้แม่นยำว่าไวยากรณ์นี้ควรในใช้ในสถานการณ์ใด เนื่องจากเขาได้รับการฝึกฝนภาษาอังกฤษอย่างเป็นธรรมชาตินั่นเอง
เมื่อเด็กมีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่ดี จะทำให้เด็กมีความกล้าและความมั่นใจที่จะสื่อสารภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติได้อย่างไม่เคอะเขิน ไม่ว่าสถานการณ์ของบทสนทนานั้นจะเป็นแบบไหน เขาก็สามารถรับมือกับมันได้ดี เมื่อเขาใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างชำนาญขึ้น จะทำให้เขาสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวางขึ้น มีหนังสือ ตำราหรือสื่อความรู้หลาย ๆ อย่างที่ยังไม่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยอยู่จำนวนมาก ในบรรดาแหล่งความรู้เหล่านั้นอาจมีส่วนช่วยเปิดโลกทัศน์บางอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน และบางทีอาจจะจุดประกายความฝันบางอย่างที่ทำให้เขากระตือรือร้นที่อยากจะไขว่คว้ามันมาให้ได้
https://happymom.in.th/th/tips/language-school-tutor/เด็ก-ภาษา-แม่-ลูก-ทารก/1270